โรคสมาธิสั้นในเด็กสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ
สาเหตุและอาการของโรคสมาธิสั้นนั้นมีความซับซ้อนมาก เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการสมาธิสั้นและเสียสมาธิได้ง่าย และมักถูกรบกวนจากสภาวะแวดล้อมรอบข้างได้ง่าย จากการวิจัยศึกษาของจีนพบว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กสมาธิสั้นนั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุและที่มักพบได้บ่อยมีดังนี้
สาเหตุที่สำคัญของโรคสมาธิสั้นเกิดจาก
1.ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
จากการศึกษาวิจัยพบว่าโรคสมาธิสั้นนี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม หากพบว่าบุคคลในครอบครัวหรือเครือญาติเคยมีอาการหรือเป็นโรคนี้ เด็กที่จะเกิดมาก็มีโอกาสเสี่ยงสูง
2.ปัญหาทางระบบประสาท
อาจเกิดจากระบบประสาทสมองส่วนกลางล่าช้า เนื่องจากแรงการกระตุ้นไม่เพียงพอจึงทำให้การพัฒนาทางประสาทบกพร่องหรือเจริญเติบโตช้า จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมาธิสั้นได้เช่นกัน

3.มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัว
บางครอบครัวมีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตราฐาน จึงไม่ค่อยสนใจให้ความรู้แก่บุตรหลาน ปัญหาเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับบุตรหลานได้
4. ประสาทรับส่งข้อมูลในสมองเสียหาย
ซึ่งอาจเกิดจากความไม่สมดุล ของการรับส่งข้อมูลของส่วนประสาท เช่น เกิดการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ ทารกเกิดภาวะการขาดออกซิเจนในครรภ์ และส่งผลกระทบต่อระบบสมองส่วนกลาง
5. การขาดธาตุเหล็ก
นักวิชาการต่างชาติหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่าการขาดธาตุเหล็ก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น นอกจากธาตุเหล็กจะทำหน้าที่รับส่งออกซิเจนแล้วยังส่วนในการถ่ายเทเผาผลาญกระบวนการชีวะเคมีอื่นๆ ซึ่งการขากธาตุเหล็กอาจทำให้ตัวรับสารโดปามีนซึ่งเป็นสารที่ควบคุมความรู้สึกทำงานผิดปกติ จะทำให้รู้กระสับกระส่าย หงุดหงิดได้ง่าย

เกณฑ์อาการเด็กสมาธิสั้นที่พบเจอได้บ่อย
1.เด็กสมาธิสั้นมักไม่ใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือทำงาน
2.มักจะรักษาสมาธิขณะเรียนได้ยาก
3.เวลาคุยกับเขามักจะเหม่อลอยและไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้พูดกำลังพูด
4.จะไม่สามารถทำการบ้านหรืองานบ้านงานประจำตามคำสั่งได้ และมักจะเป็นเรื่องยากที่จะทำตามภารกิจหรืองานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
5.ไม่ชอบหรือไม่อยากทำภารกิจหรืองานที่ต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง(เช่นการบ้าน หรืองานบ้าน)และมักจะพยายามหนีหรือหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำ
6.ฟุ้งซ่านได้ง่ายจากสิ่งเร้าภายนอกและมักจะลืมสิ่งของหรือกิจวัตรประจำวันที่ทำอยู่เป็นประจำ
7.หากอยู่ในห้องเรียนหรือสถานที่ต่างๆมักจะไม่อยู่กับที่และจะออกจากที่นั่งโดยไม่ได้รับอนุญาต
8.วิ่งไปรอบรอบ หรือปีนขึ้นลงบ่อยเกินไป ในโอกาสที่ไม่เหมาะสม
9.มักขัดจังหวะหรือชอบรบกวนผู้อื่น (เช่นตะโกนเสียงดังเพื่อขัดจังหวะเมื่อผู้อื่นพูดอยู่ หรือชอบยุ่งกับกิจกรรมของผู้อื่น)

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมาธิสั้น
โดยทั่วไปเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้สามารถป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้นได้ในระดับหนึ่ง
1.ควรตรวจสุขภาพก่อนสมรส หลีกเลี่ยงการแต่งงานในเครือญาติ และควรมีการพิจารณาในการเลือกคู่สมรสว่าอีกฝ่ายมีญาติใกล้ชิดที่มีอาการป่วยทางประสาทหรือไม่
2.ควรแต่งงานและมีลูกในวัยที่เหมาะสม การแต่งงานช้าหรือตั้งครรภ์ช้าเกินไปจะทำให้เกิดความบกพร่องส่งไปถึงเด็กในครรภ์ได้ ดังนั้นผู้ที่ตั้งครรภ์ช้าเกินไปจึงควรมีการวางแผนการดูแลบุตรทั้งก่อนคลอดและหลังคลอดให้ดี เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับเด็ก
3. หลีกเลี่ยงหรือลดโอกาสการบาดเจ็บในระหว่างคลอด อาการบาดเจ็บเหล่านี้ทำให้ประสาทและสมองถูกรบกวนได้ง่าย จากการศึกษาวิจัยของจีนพบว่าการคลอดแบบธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนของเด็กสมาธิสั้นในอัตราที่สูงกว่า
4.ในขณะที่ตั้งครรภ์ควรรักษาอารมณ์ให้อยู่ในภาวะที่ปกติหรือมีความสุขไม่เครียดจนเกินไป และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่หรือรับสารเสพติดใดๆในขณะตั้งครรภ์ สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นภาวะทางสมองซึ่งจะส่งผลต่อเด็กในครรภ์

5.สร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมภายในบ้านหรือครอบครัวให้มีความอบอุ่น เด็กควรมีความผ่อนคลายเมื่ออยู่ในครอบครัวและไม่ควรได้รับแรงกดดันในการเรียนที่มากจนเกินไป
6. ควรใส่ใจกับโภชนาการที่เหมาะสมและสร้างระเบียบในการกินให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนานิสัยการกินที่ดี และควรให้เด็กนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ
สรุป
เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการสมาธิสั้นและเสียสมาธิได้ง่าย มักถูกรบกวนจากสภาวะแวดล้อมรอบข้าง
หากพบว่าเด็กมีอาการเหล่านี้ควรต้องมีการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อทำการบำบัดรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตามเราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดโรคสมาธิสั้นได้